วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยธรรมเนียมปฏิบัติโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อพิธีกรรมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในขนมธรรมเนียมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถความเจริญรุ่งเรืองเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนเคลือบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เซรามิคลำปาง

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิค เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลผลิตจากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างลี้ลับ เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือตำหนิต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิก

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เซรามิคลำปาง

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยประเพณีนิยมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อธรรมเนียมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในขนมธรรมเนียมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถปฏิรูปเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนชุบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกส์ญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

ที่มา : http://www.kaewceramic.com

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิกส์ เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลเก็บเกี่ยวจากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้าง#สลับซับซ้อน เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือติโทษต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิกส์

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยวัฒนธรรมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อขนมธรรมเนียมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในธรรมเนียมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิกส์ชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถขยายเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนอาบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกส์ญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

เครดิต : http://www.kaewceramic.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิกส์ เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลิตผลจากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือกล่าวโทษต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิค ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิก

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยธรรมเนียมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อประเพณีนิยมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิกส์ชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถคืบหน้าเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนอาบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิก เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลิตภัณฑ์จากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือด่าต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์แก้วเซรามิค ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแก้วเซรามิค

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

เครดิต : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยพิธีกรรมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อพิธีกรรมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในวัฒนธรรมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือแก้วเซรามิคชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถความเจริญรุ่งเรืองเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนเคลือบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกส์ญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.kaewceramic.com

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิค เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลิตผลจากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซ้อนกัน เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือครหาต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแก้วเซรามิค

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยวัฒนธรรมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อจารีตการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิกส์ชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถเพิ่มพูนเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนเคลือบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิคญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิก เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลิตภัณฑ์จากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างลึกลับ เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือตำหนิต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิก ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิกส์

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยขนมธรรมเนียมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อวัฒนธรรมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิกชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถงอกงามเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนทานั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เซรามิคลำปาง

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.kaewceramic.com

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิกส์ เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลิตผลจากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้าง#สลับซับซ้อน เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือพูดให้ร้ายต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิก ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิก

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยพิธีกรรมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อธรรมเนียมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในขนมธรรมเนียมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิกชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถคืบหน้าเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนพอกนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค ลําปาง

เครดิต : http://www.kaewceramic.com

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิค เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลผลิตจากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างวกวน เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือติโทษต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิก

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เซรามิคลำปาง

ที่มา : http://www.kaewceramic.com

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยธรรมเนียมปฏิบัติโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อประเพณีนิยมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในขนมธรรมเนียมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถความเจริญรุ่งเรืองเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนเคลือบนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิคญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

ขอบคุณบทความจาก : http://www.kaewceramic.com

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

การอบแห้ง

การอบแห้ง

การอบแห้ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในการผลิตเซรามิก เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องทำการขับไล่ความชื้นออกจากเนื้อของผลิตภัณฑ์จากผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เพื่อเตรียมที่จะนำเข้าเผา กระบวนการอบแห้งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน เริ่มต้นจากการที่น้ำเริ่มระเหยออกจากชิ้นงานพร้อมกับเกิดการหดตัวขึ้น โดยที่การหดตัวจะมีค่าเท่ากับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไป ต่อจากนั้น เป็นช่วงที่น้ำภายในชิ้นงานเริ่มมีการระเหยออกมาซึ่งจะมีการหดตัวเล็กน้อย หรือ บางครั้งไม่พบการหดตัวเลย ในกระบวนการอบแห้งนี้ เราจะพบข้อบกพร่องหรือด่าว่าต่างๆ เกิดขึ้นมาได้ เช่น การร้าวของชิ้นงาน หรือการบิดงด ชิ้นงานใดๆ ก็ตามโดยหลักการแล้วควรที่จะทำการปล่อยให้แห้งอย่างช้าๆ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่สมควรที่จะเร่งอัตราการแห้ง งานชิ้นใหญ่ๆ บางที่ต้องใช้เวลาในการอบแห้งนานนับเดือน

อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นอุตสาหกรรมแล้ว เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้การรอให้แห้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้จึงเกิดการพัฒนากระบวนการอบแห้งเพื่อลดเวลาที่จะต้องรอคอยลงมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยการนำเงื่อนไขของลม ความชื้นและอุณหภูมิเข้ามาช่วย

 

การพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อดิน

            โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อดินจะถูกมองข้ามไปว่า ไม่น่าที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแห้งตัวของผลิตภัณฑ์แท้ที่จริงแล้วปัญหาต่างๆ ที่พบมาจากเนื้อดินโดยตรง เช่น การหดตัวที่จะเป็นสาเหตุของการร้าว การหดตัวของเนื้อดินจะหดเท่าๆกับปริมาตรของน้ำที่สูญเสียไปในช่วงของการระเหยออกจากผิวผลิตภัณฑ์ ยิ่งงานของเรามีความชื้นมากเท่าไร การหดตัวก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น น้ำจะถูกจับเอาไว้โดยโมเลกุลของดินที่มีความเหนียวถ้าเป็นไปได้ การหลีกเลี่ยงเนื้อดินที่มีความเหนียวมากๆ จะช่วยลดปัญหาการร้าวได้ดี ถ้าดินมีการหดตัวสูง การแตกร้าวจะเกิดขึ้นได้ง่าย วิธีช่วยแก้ปัญหานี้อาจจะทำได้โดยการปรับแต่ง เช่น การเติมสารเคมีประเภทแอมโมเนียคาร์บอเนต หรือแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต ลงไปประมาณ 0.1-0.5% ในเนื้อดิน จะช่วยลดเวลาการแห้งตัวลงไปมาก ได้มีการศึกษาดังนี้

1.      ในการทำผลิตภัณฑ์ประเภทเซรามิคเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้เครื่องจิ๊กเกอร์ ปกติจะอบแห้งนานนับชั่วโมงขึ้นไปในห้องอบแห้งที่มีการควบคุมความชื้น ถ้าเติมแอมโมเนียไบคาร์บอเนต 0.4% จะทำให้เร่งระยะเวลาของการอบแห้งลงได้ประมาณ 80%

2.      ในเนื้อดินชนิดพิเศษ เช่น เนื้อซิลิมาไนต์ ที่ขึ้นรูปโดยการใช้เด็กซ์ตริน 3% จะเข้ามาเคลือบปิดรูพรุนของผิวงาน น้ำจึงไม่สามารถที่จะระเหยออกมาได้ ทดลองเติมแอมโมเนียคาร์บอเนตลงไป พบว่าช่วยทำให้เกิดการแห้งตัวเร็วขึ้นในเวลา 4-5 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีเพื่อลดระยะเวลาอบแห้งควรจะต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน

นำมาใช้งานจริงเสมอ การควบคุมการแห้งตัว ควรที่จะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อีกเช่น

-          แบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์

-          ขนาดของอนุภาคเนื้อดิน และชนิดของดินที่ใช้งาน

-          รูปร่างของงาน ขนาด และความหนาของงาน

ทั้งนี้ มีข้อแนะนำดังนี้

1.      ในกรณีที่มีความชื้นในพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ประมาณ 5-20% อุณหภูมิที่จะใช้ในการอบแห้งไม่ควรเกิน 105 องศาเซลเซียส

2.      ถ้าพิมพ์แห้งแล้วไม่ควรใช้เกิน 45 องศาเซลเซียส

3.      อุณหภูมิในห้องอบแห้งไม่ควรเกิน 37 องศาเซลเซียส

4.      ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 10%

5.      การใช้กระแสลมช่วยมีประสิทธิภาพกว่าการใช้อุณหภูมิสูงๆ

6.      พิมพ์ที่ผ่านการอบจนร้อนให้ระวังการนำออกมากระทบอุณหภูมิภายนอกที่เย็นๆ ทันที

สำหรับเนื้อดินที่มีความเหนียวอยู่มาก ต้องอบแห้งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเนื้อดินที่มี

ความเหนียว และหนาการเคลื่อนตัวของน้ำจะช้า ในระยะแรกของการอบแห้งควรจะต้องระวังให้มาก เนื่องจากการร้าวของชิ้นงานจะเกิดขึ้นได้ง่าย การระเหยของน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของชิ้นงาน จะทำให้เกิดการหดตัวที่แตกต่างกัน และทำให้เกิดปัญหาการร้าวหรือบิดเบี้ยวได้

      ในกรณีของจาน ถ้าขอบจานแห้งก่อนจุดที่อยู่บริเวณตรงกลางของงาน เราเรียกการบิดเบี้ยวนี้ว่า “ฮัมพ์เปอร์” ลักษณะนี้คือ บริเวณตรงกลางของจานจะแอ่นตัวขึ้นมา แต่ถ้าบริเวณตรงกลางจานแห้งก่อนบริเวณขอบจาน บริเวณกลางจานจะยุบตัวลงไป เรียกว่า “เวร์ลเลอร์” การแก้ปัญหาอาจจะออกแบบพิมพ์ปูนพลาสเตอร์ให้มีรูปร่างนูนตรงกลางที่เรียกว่า “สปริง”

 

ลักษณะต่างๆ ของการอบแห้ง

1.      การอบแห้งแบบ ฮอท ฟลอร์ ดรายเออร์

การอบแห้งแบบนี้ใช้ห้องอบที่ได้รับความร้อนมาจากเตาในส่วนของแก๊สที่ผ่านมาทาง

ปล่อง หรือไม่ก็ใช้วิธีอื่นๆ ที่จะให้ความร้อนผ่านเข้ามาในห้องอบ ไอน้ำจากผลิตภัณฑ์ที่ระเหยออกมาทำให้บรรยากาศในห้องอบค่อนข้างชื้น จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นในห้องอบให้เหมาะสม และส่วนมากห้องอบแบบนี้ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก

2.      การอบแห้งแบบอาศัยความชื้นสัมพัทธ์

การอบแบบนี้อาศัยหลักที่ว่า ของที่เปียกอยู่จะไม่มีการระเหย ถ้าความชื้นสัมพัทธ์มีค่า

สูงมาก แม้ว่าจะมีการเพิ่มอุณหภูมิก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจะอบแห้งแบบนี้ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเตาอุโมงค์ ซึ่งจะบรรจุหรือวางบนรถที่เคลื่อนที่ผ่านห้องที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความชื้นสัมพัทธ์ในห้องมีค่ามาก จนไม่มีการระเหยของน้ำในผลิตภัณฑ์เซรามิค ออกมาเลย เมื่อรถเคลื่อนที่มาจนถึงบริเวณที่กำหนดที่จะเริ่มมีการระเหย อุณหภูมิจะลดลง ในขณะที่ผิวของผลิตภัณฑ์ยังคงเหลือความร้อนอยู่ พร้อมๆกับทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในบริเวณนี้ลดลง ความชื้นในผลิตภัณฑ์จะระเหยออกมาอย่างรวดเร็วจนแห้ง

3.      การอบแห้งโดยใช้รังสีอินฟราเรด

การอบแบบนี้ต้องมีแหล่งกำเนิดคลื่นใต้แดง หรืออินฟราเรดที่จะทำให้โมเลกุลของน้ำใน

เนื้อผลิตภัณฑ์ดูดกลืนเข้าไปและเกิดพลังงานความร้อนขึ้นมาจนระเหยออกจากผลิตภัณฑ์ ทำให้การอบแห้งวิธีนี้ค่อนข้างที่จะรวดเร็วและสม่ำเสมอ

4.      การอบแห้งโดยการใช้คลื่นความถี่สูง

ใช้หลักการเหมือนวิธีอินฟราเรด แต่เปลี่ยนมาเป็นคลื่นวิทยุที่มีความเข้มมากๆ แทน

5.      การอบแห้งโดยใช้กระแสไฟฟ้า

อาศัยหลักการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเนื้อดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินที่ต้องการขึ้นรูปจาก

แท่งดินขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมฉนวนไฟฟ้า แท่งดินที่ผ่านเครื่องรีดดินจะมีขนาดใหญ่มาก การอบแห้งแบบทั่วไปไม่สามารถที่จะให้แห้งได้ในเวลาอันสั้น จะใช้วิธีส่งกระแสไฟฟ้าผ่านแท่งดินนี้ด้วยค่าที่เหมาะสม ทำให้โมเลกุลของน้ำในดินสั่นสะเทือนและระเหยออกมา

โดย...ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเซรามิก

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แก้วเซรามิค

เครดิต : http://www.kaewceramic.com