วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น

กล่าวได้ว่า ยุคแรกของเครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น เริ่มจากสมัยขนมธรรมเนียมโจมอน หรือประมาณ 8,000-300 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีความสามารถในการทำภาชนะดินเผาสำหรับใส่อาหารและน้ำดื่ม ลักษณะส่วนใหญ่จะเป็นรูปกรวยก้นแหลม หรือก้นแบน เครื่องปั้นนี้พบกระจายอยู่ตั้งแต่เกาะฮอกไกได มาถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู และยังพบเครื่องปั้นที่มีวิวัฒนาการในด้านรูปทรง และลวดลาย ในบริเวณชายฝั่งตะวันออกในบริเวณที่ราบคันโตเกาะฮอนชู เป็นต้น

มนุษย์ในยุคโจมอนถือเป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บของป่า วัฒนธรรมโจมอนสิ้นสุดลงเมื่อประเพณีนิยมการปลูกข้าว ซึ่งนำไปสู่การปักหลักอย่างถาวร จากนั้นได้มีการขุดพบตุ๊กตานักรบ ซึ่งทำด้วยดินเผา ฝังอยู่ในสุสานของชนชั้นสูงหรือชนชั้นผู้ปกครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 ในขนมธรรมเนียมที่เรียกว่า ฮะนิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และความเชื่อของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี

ความจริงในสมัยศตวรรษที่ 5 ถึง 6 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นได้รับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหรือแก้วเซรามิคชนิด Stoneware จากประเทศเกาหลี ซึ่งในยุคนั้นเกาหลีสามารถรุดหน้าเครื่องปั้นดินเผาไฟสูงโดยได้เคลือบ เซราดล ที่มีสีเขียวหรือน้ำตาล อันเกิดจากการที่ขี้เถ้าไม้ในการเผาตกลงบนหุ้มนั่นเอง เครื่องปั้นแบบนี้ญี่ปุ่นได้นำไปพัฒนาจนได้เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อว่า Shigaraki ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้รับความรู้จากประเทศจีน โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งมีการใช้ตะกั่วและสารให้สีในเคลือบ มาพัฒนารูปแบบของตนจนถึงศตวรรษที่ 13 จึงนับเป็นการเริ่มต้นของ เซรามิกญี่ปุ่น อย่างแท้จริง

ตามประวัติเล่าว่า ชาวญี่ปุ่นชื่อ โตชิโร่ ได้นำความรู้จากการเดินทางไปประเทศจีน ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์ซ่ง กลับมายังเมืองเซโตะ ประเทศญี่ปุ่น และได้พัฒนาหาส่วนผสมของดินที่เหมาะสม เพื่อทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซรามิคแบบญี่ปุ่นในเมืองนี้จนสำเร็จ ปัจจุบันเมืองเซโตะยังคงมีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผา และมีการจัดงานเครื่องปั้นดินเผาทุกปี

ในช่วงปี ค.ศ. 1185-1333 ญี่ปุ่นมีแหล่งเตาที่สำคัญ 6 แห่งคือ เซโตะ , โตโกกาเม่ , แทมบะ , บีเซน , เอะชิเซน และชิการากิ ในช่วงระหว่างนั้นเอง พระญี่ปุ่นนิกายเซน นิยมการใช้ชาเขียวที่บดละเอียดเป็นเครื่องดื่ม และชาเขียวนี้ได้เข้ามาเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา เช่น การเข้าสมาธิ เพื่อความรู้แจ้งทางปัญญา ต่อมาชาเขียวนี้ก็เป็นที่นิยมในชนชั้นสูงที่มีความสัมพันธ์กับการศาสนา และพัฒนาไปสู่วงการพ่อค้าวาณิชในที่สุด พิธีการชงชาได้กลายเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ ที่สร้างความรู้สึกในด้านสุนทรียภาพ ศิลปะ และความรอบรู้ กับชาวญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น

ส่วนประกอบของพิธีการชงชาที่สำคัญก็คือ การใช้ภาชนะในการชงชา ในระยะแรก การชงชายังเป็นเครื่องถ้วยจากจีนเป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นเครื่องถ้วยเกาหลี แต่ต่อมา เกิดความขาดแคลนสินค้าจากจีน ผู้ชงชาจึงนำเครื่องถ้วยเซโตะ , บีเซน และชิการากิ มาใช้ในพิธีนี้

ความนิยมใช้เครื่องปั้นญี่ปุ่นจึงนำมาสู่การพัฒนารูปแบบเครื่องถ้วยญี่ปุ่นอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในพิธีชงชา เช่น ช่างปั้นชื่อ โชจิโร่ รากุ ขึ้นรูปเครื่องถ้วยด้วยมือ และนำเคลือบจากเตาที่ร้อนอยู่ ไปแช่ในน้ำอุ่นทันที ทำให้เคลือบแตกเป็นระแหง ก็ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่น จนเรียกเครื่องถ้วยประเภทนี้ว่า เครื่องปั้นรากุ เป็นต้น หรือผู้ประกอบพิธีการชงชา เช่น ฟูรูตะ โอริเบ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกรวมว่า เครื่องถ้วยโอริเบ ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยปั้นด้วยมือและมีเคลือบสีเขียว ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

โลกรู้จักเซรามิคของญี่ปุ่นผ่านภาชนะที่มีรูปแบบเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ในพิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น ภาชนะนี้มีรูปร่างไม่แน่นอน บางส่วนก็หนาทึบ บางส่วนก็โค้งเว้าไม่เท่ากัน ขณะเดียวกันส่วนของเคลือบก็ไม่เท่ากัน มีร่องรอยเหมือนกับน้ำเคลือบนั้นยังคงมีไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ช่างปั้นต้องการแสดงออกถึงฝีมือของตน ชาวตะวันตกได้รู้จักเซรามิกญี่ปุ่นนี้ในชื่อว่า ราคุ อันเป็นเครื่องถ้วยที่มีความเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้พิธีการชงชาของคนญี่ปุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพและความสวยงามเซรามิกของญี่ปุ่นมาตลอด

และแล้วในศตวรรษที่ 16 หลังการเข้ายึดครองเกาหลี ญี่ปุ่นได้รับความรู้ในการทำเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ในตอนแรกนั้นช่างปั้นเกาหลีได้ทำเครื่องถ้วยที่มีชื่อว่า คารัตสุ อันเป็นต้นกำเนิดเครื่องถ้วยเปลือกไข่ ระยะแรกในญี่ปุ่น และได้นำไปใช้ในพิธีชงชาด้วยเช่นกัน ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครื่องถ้วยเปลือกไข่ด้วยเทคนิคของตนเอง จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตเป็นเครื่องลายครามได้ในที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ที่เมืองอาริตะ

เครื่องลายครามดังกล่าวมีความสวยงามแต่ยังคงลวดลายที่แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะจีน จนกระทั่งในปี 1644 ได้เกิดปัญหาการผลิตเครื่องปั้นในประเทศจีน เนื่องจากสงคราม ชาวตะวันตกซึ่งสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน ซึ่งมีบริษัทตัวแทนใกล้เมืองอาริตะ บนเกาะคิวชู จึงได้นำเข้าสินค้าเครื่องถ้วยเปลือกไข่ของญี่ปุ่น จากเมืองอาริตะเข้าสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรปแทนสินค้าจากเมืองจีน ดังนั้นชาวตะวันตกส่วนใหญ่จึงรู้จักเครื่องถ้วยเปลือกไข่นี้ มากกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่นๆ ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ เครื่องถ้วยหิน ซึ่งใช้ในพิธีชงชาแบบดั้งเดิมดังที่กล่าวมาข้างต้น



ที่มา : http://www.kaewceramic.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น